“กล้าที่จะถูกเกลียด” เป็นหนังสือที่ดีที่สุดในจังหวะชีวิตของผมในตอนนี้เลย ผมไม่ได้พูดเกินจริง แต่มันส่งผลต่อชีวิตผมมากๆ จากการกลัวการถูกเกลียด ทำให้เราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย
อย่างที่ทราบว่าผมนั้นทำเพจ “เด็กช่างวัด” มาเข้าปีที่ 4 แล้ว แต่การเติบโตก็ยังอยู่ในกรอบอะไรบางอย่างจนวันหนึ่งผมได้คุยกับพี่ที่เป็น Influencer และเป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัทที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในแวดวงอุตสาหกรรมเดียวกัน ประโยคทิ้งท้ายที่พี่ฝากไว้คือ “สิ่งที่น้องทำมันก็ดีนะ แต่มันเหมือนอะไรบางอย่างที่ครอบเราไว้อยู่ ทำให้เราไม่เติบโตไปกว่านี้”
ผมได้ฟังดังนั้น ผมยอมรับในใจกับตัวเองเลยว่า มันโคตรจะจริง! คืนนั้นผมนอนคิดทบทวนตัวเองทั้งคืน อะไรบ้างที่ทำให้เรายังคงติดอยู่ในกรอบ ผมสรุปกับตัวเองได้ 2 ข้อ
1. ผมกลัวการพบเจอผู้คน ไม่กล้าแสดงออก
2. ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอ
ผมปรึกษากับคนรอบตัวที่รู้จัก ก็ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผมนี่หรอที่ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าเปิดคอร์สสอน ไม่กล้านำเสนอ ไม่กล้าเป็นวิทยากร ไม่กล้าเป็นพิธีกร เพราะว่าที่พูดมา ก็ทำมาหมดแล้วไม่ใช่หรอ?
ใช่ครับ ผมมีปมเรื่องการไม่กล้าแสดงออก แล้วผมเข้าใจไปเองว่า มันจะหายไปได้ หากเราไปเวทีที่ใหญ่ขึ้น แต่แล้วผมก็พบว่า จริงๆ มันไม่หายไปเลย ทั้งที่ผมทำมาจนหมดแล้ว แต่ความกลัวกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผิดจากสิ่งที่คิดไว้มาก กลัวจนไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อเลย
หลังจากนั้นผมได้มีการนัดหมายเพื่อพูดคุยแบบพบเจอกันกับพี่เจ้าของบริษัทอีกครั้ง เพื่อคุยในหลากหลายประเด็น และหนึ่งในนั้นคือการสอบถามเรื่องปมในใจ ทำอย่างไรถึงจะหายไปได้ เพื่อที่ผมจะได้ไปต่อกับชีวิต การพูดคุยของเรายาวนาน จนเกือบข้ามคืน เป็นการสนทนาที่คุ้มค่ากับชีวิตผมมาก การที่มีใครสักคนมารับฟัง และให้คำแนะนำกับเรา จากคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถึงแม้ว่าการพูดคุยนั้นจะยาวนาน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจชีวิตในทุกมิติ พี่ก็ได้แนะนำให้ผมไปศึกษาต่อเองเพิ่มเติมหลังจากนี้นะ
ผมนำเรื่องปมชีวิตนี้ให้พี่ที่รู้จักฟัง พี่ท่านนี้ก็ได้แนะนำให้ลองอ่านหนังสือ “กล้าที่จะถูกเกลียด” ไม่แน่ใจว่าพี่ท่านนี้จะจำได้ไหมว่าก่อนหน้านั้นก็เคยแนะนำให้ผมอ่าน แต่ผมไม่สนใจ และผมก็เจอหนังสือเล่มนี้วางที่ร้านหนังสือ ผมยังไม่แม้แต่จะหยิบมาดูสารบัญเลยด้วยซ้ำ เพราะอคติในใจไปแล้วว่าหนังสือบ้าอะไร อยู่ๆ มาสอนให้เราถูกเกลียด
หลังจากได้รับคำแนะนำอีกครั้ง ผมรีบไปซื้อมาอ่านดู เผื่อมันจะช่วยอะไรผมได้บ้าง แบบไม่คาดหวังมากนัก แต่ผิดถนัด หนังสือเล่มนี้ดีมากๆ ดีเสียจนคิดว่า ทำไมเรามาเจอกันช้าไป (แต่ในหนังสือได้ให้คำตอบเรื่องนี้ไว้ว่า อย่าไปเสียใจกับอดีต ให้เราอยู่กับปัจจุบัน)
หนังสือทุกเล่มอาจจะมีจริตที่อาจจะตรงใจ หรือไม่ตรงใจใครบางคน เล่มนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมคงไม่อาจจะบ่งบอกได้ว่า เหมาะสมที่จะอ่านไหม แต่ประเด็นเนื้อหาในหนังสือที่แต่งมานั้น มันจริงกับชีวิตผมแทบทุกข้อ อย่างไร้ข้อโต้แย้ง หากจะให้เล่าสรุปในประเด็นปมสำคัญของผม ในหนังสือเล่มนี้ตอบไว้อย่างชัดเจน
เรื่องความกลัวที่ผมเผชิญ เกิดจากความสัมพันธ์ ผมทำเพจให้ความรู้ด้านวิศวกรรม และผมก็รู้ตัวเองลึกๆ ว่าเราไม่ได้เก่งมากมายอะไร ความรู้ประมาณหนึ่ง แค่อยากแบ่งปันเรื่องราวที่มีประโยชน์ออกไปเท่านั้น ไม่กล้าแม้จะภูมิใจที่เราทำออกไปด้วยซ้ำ อายเพื่อนๆ ที่เขาเก่งกว่าเรา เขิลทุกครั้งที่มีคนกล่าวถึง แต่นั้นหละครับ ความสัมพันธ์บนความคาดหวังแห่งการยอมรับ เป็นกับดักที่ส่งผลให้ผมไม่กล้าที่จะทำอีกหลายสิ่ง หลายอย่างมากมาย
อีกเรื่อง ผมรู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ รู้สึกตัวเองไร้ค่า ไร้ราคา พยายามพัฒนาตัวเองเท่าไหร่ คุณค่าที่ตามหากลับยิ่งดูไกลออกไปทุกที หนังสือเล่มนี้ตอบประเด็นนี้ไว้ว่า คุณค่าในตัวเอง เกิดจากเราทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นไหม หากใช่ นั้นหละ เรามีคุณค่าในตัวเองแล้ว
ส่วนสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือบทท้าย ที่บอกว่า “จงให้ความสำคัญกับ วินาทีนี้” หากจะพูดแบบเข้าใจง่ายๆคือ การอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าพูดแบบนี้อาจจะฟังดูเป็นแนวธรรมะ แต่ในหนังสือช่วยอธิบายให้เห็นบริบทว่าการอยู่กับวินาทีนี้ มันสำคัญอย่างไร และส่งผลต่อชีวิตเราอย่างมาก หลายครั้งเราพยายามตั้งเป้าหมาย แต่เราลืมที่จะอิ่มเอมกับระหว่างทางของการเดินทาง นี้ละครับคือคำตอบ
เดี๋ยวอ่านเล่มสองจบ จะมารีวิวให้ฟังใหม่ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ