เทคนิคง่าย ๆ ให้คุณเก่งภาษา เพื่อความก้าวหน้าในการทำงาน

วิธีเรียนรู้ภาษาด้วยตัวเอง

เทคนิคง่าย ๆ ให้คุณเก่งภาษา เพื่อความก้าวหน้าในการทำงาน

คนที่เก่งภาษาจะมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าแม้ว่าจะทำงานเก่งเท่ากัน เพราะ…

  • คนที่เก่งภาษาจะค้นหาข้อมูลได้กว้างและลึกกว่า มีโอกาสเรียนรู้ได้มากกว่า เพราะข้อมูลเฉพาะทางบางอย่าง เช่น ข้อมูลทางเทคนิคของเครื่องจักร ก็ไม่มีในภาษาไทย ทำให้คนที่รู้ภาษาต่างประเทศสามารถค้นหาข้อมูลและต่อยอดได้ไกลกว่า หากบริษัทจะคัดเลือกคนไปอบรมต่างประเทศก็จะเลือกจากคนที่ได้ภาษาเป็นอันดับต้น ๆ
  • คนที่เก่งภาษาจะได้รับการยอมรับในที่ทำงาน มีผลต่อการประเมินผลงานด้วย เช่น เมื่อมีลูกค้าต่างชาติมาติดต่อ แล้วหัวหน้างานพูดไม่ได้ แต่เราพูดได้ เราก็จะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น และเข้าตาผู้บริหาร
  • การทำงานกับบริษัทข้ามชาติ หรือทำงานต่างประเทศ มีรายได้สูงกว่าบริษัทในประเทศ ซึ่งการพิจารณาคนเข้าทำงานนั้น นอกจากความรู้เฉพาะทางตามสายงานแล้ว ยังพิจารณาผู้ที่มีทักษะการสื่อสารในภาษาอังกฤษเป็นลำดับต้น ๆ ด้วย ดังนั้น คนที่ได้ภาษาอังกฤษจึงมีโอกาสในการทำงานได้กว้างกว่า
  • คนที่เก่งภาษาจะมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่า มีโอกาสได้รับผิดชอบงานใหญ่ โดยเฉพาะในบริษัทที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เพราะคนที่สามารถนำเสนองานและสื่อสารได้ดีจะสร้างมูลค่าได้มากกว่า โดยเฉพาะปัจจุบันที่เทคโนโลยีที่ทำให้คนเชื่อมถึงกันได้ง่ายขึ้น การประชุมออนไลน์ต่าง ๆ ทำให้เราทำงานกับชาวต่างชาติได้ง่ายขึ้น คนเก่งภาษาจึงได้เปรียบ
  • คนที่เก่งภาษามาก ๆ สามารถทำงานหาเงิน Online ได้จากที่บ้าน โดยมีลูกค้าเป็นคนทั้งโลก
  • หลาย ๆ บริษัทมีค่าภาษาให้ หรือแม้แต่หน่วยงานราชการปัจจุบันก็มีค่าภาษาให้ตามระดับความสามารถด้านภาษาของบุคลากร
  • การจะเป็นข้าราชการได้ปัจจุบันก็ต้องสอบให้ผ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาบังคับในการสอบ กพ. ใครสอบไม่ผ่าน ก็ต้องตกไป
  • คนที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารก็ต้องเก่งภาษา เพราะการติดต่อสื่อสาร การเจรจาต่อรองกับภายนอกที่เป็นบริษัทต่างชาติก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ
  • คนที่เก่งภาษาพัฒนาตนเองได้มากกว่า เพราะคอร์สเรียนระดับโลก จากอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญระดับโลก สอนเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สของ MIT, STANFORD หรือหลักสูตรทั้งหมดของ Coursera และ Udemy ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงคอร์สฟรีในยูทูป ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นภาษาอังกฤษ คนเก่งภาษาจึงมีช่องทางเพิ่มความรู้ได้มากกว่า
  • คนที่ทำงานเฉพาะทางที่จำเป็นจะต้องมีใบรับรอง ก็ต้องไปเรียนไปอบรม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาอังกฤษ แม้จะมีค่าเรียนที่แพงและค่าสอบที่แพง แต่หากได้รับใบรับรองแล้ว ก็จะสร้างรายได้อย่างมหาศาลเช่นกัน
  • ในทางกลับกันในยุคที่การสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นเรื่องพื้นฐาน คนที่ไม่ได้ภาษากลับเป็นข้อเสียเปรียบในการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • คนที่อ่านหรือฟังภาษาอังกฤษได้จะมีหนังสือให้อ่านมากมาย มีเพลงและหนังให้ฟังให้ดูมากกว่าแน่นอน
  • คนที่เก่งภาษาสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตัวเอง

จะเห็นว่าข้อดีของการเก่งภาษานั้นมีอยู่มากมายจริง ๆ แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะเก่งภาษาอังกฤษกับเขาบ้าง ลองทำตามวิธีการนี้ดูครับ

เริ่มต้นตั้งเป้าหมาย

เทคนิคง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริงซึ่งรวมรวมจากการสัมภาษณ์ผู้คนจากหลากหลายอาชีพที่ใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานและได้รับโอกาสดี ๆ จากการใช้ภาษาอังกฤษ จะมีลักษณะร่วมกันคือ

อย่างแรกต้องมีเป้าหมายก่อน ว่าเราอยากจะเก่งภาษาไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อการสื่อสารที่ดีขึ้น เพื่อหางานทีดีกว่า เพื่อปรับเงินเดือน เพื่อเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่
เพราะการมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้เราอยากลงมือทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
การไม่มีเป้าหมายจะทำให้เราล้มเลิกกลางคันได้

เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ก็หาวิธีการ ซึ่งมี 2 วิธีการใหญ่ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือ การสร้างวงจร Input – Output

วิธีเรียนรู้ภาษาด้วยตัวเอง

วิธีการสร้าง Input

การสร้าง Input คือการเติมข้อมูลเข้ามาในสมอง ในการฝึกภาษาอังกฤษคือการเติมศัพท์ เติมประโยค เติมบทสนทนา เติมสำเนียงเข้ามาในสมองให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีเทคนิคดังนี้

– อยากเก่งภาษาต้องฟังให้มาก ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ เราจะเริ่มชิน เส้นใยประสาทที่เกี่ยวกับการฟังจะเริ่มแตกแขนงและจับกันมากขึ้น ตามกลไกธรรมชาติของสมอง ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เราฟังมากขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้ไม่เกี่ยวกับความฉลาด แต่เกี่ยวกับความถี่ ความสม่ำเสมอ และปริมาณที่ฟังล้วน ๆ ลองนึกถึงเด็กเล็ก ๆ ที่เกิดมาเขายังพูดไม่ได้ แต่หลังจากเฝ้าดูพ่อแม่ของเขาพูดคุยกันทุก ๆ วัน ขวบกว่า ๆ เขาก็เริ่มพูดได้ และ 2 ขวบก็เริ่มพูดคล่อง โดยไม่ต้องมีใครมาสอน บางคนพูดได้มากกว่า 1 ภาษาด้วยซ้ำ แล้วพวกเราในฐานะคนทำงานที่อยากฝึกภาษาต้องฟังมากแค่ไหน? ถ้าไม่มีเวลา อย่างน้อยควรฟังวันละ 1 ชั่วโมง อาจจะแบ่งเป็นช่วง ช่วงละ 20 นาทีก็ได้ แต่หากมีเวลาอยากเก่งเร็ว ๆ ภายใน 3 เดือน ให้ฟังวันละ 5-6 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่คุณเดินทาง ทำงานบ้าน ออกกำลังกาย ช่วงเวลาว่าง ฯ ใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ คุณจะเก่งภาษาอย่างแน่นอน

– เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ เลือกฟังสิ่งที่เราฟังหรืออ่านแล้วเข้าใจได้เกิน 80% เช่น นิทานเด็ก, podcast ในเรื่องที่เราสนใจ, หนังหรือซีรีส์ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ อย่าหาอะไรที่ยาก ๆ มาฟัง เพราะเราจะท้อใจเพราะอ่านไม่เข้าใจหรือฟังไม่ออก จนล้มเลิกไปในที่สุด

– จงฟังซ้ำ ๆ ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดคือ การฟังซ้ำ ๆ ให้ซึมลงไปในจิตใต้สำนึก ฟังไปเรื่อยจนเข้าใจได้โดยอัตโนมัติ (โดยไม่ต้องแปลเป็นไทย)

– การดูการ์ตูนเด็กก็ช่วยได้เยอะ การ์ตูนที่อยากแนะนำคือการ์ตูนเรื่อง Caillou ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กชายวัย 4 ขวบกับครอบครัวของเขา ซึ่งใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเป็นภาษาที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน เราสามารถจำมาพูดในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย

– การอ่านหนังสือประเภทหนังสืออ่านเล่น เช่น Oxford Bookworms, Cambridge English Readers ก็ช่วยได้เยอะ เพราะหนังสือเหล่านี้อ่านสนุก และถูกเรียบเรียงใหม่ให้เป็นประโยคสั้น ๆ อ่านง่าย แถมเรายังจะได้ทักษะการเขียนที่ดีอีกด้วย เพราะโครงสร้างภาษาที่ใช้เขียนหนังสือเหล่านี้เป็นโครงสร้างการเขียนที่ดี

– อ่านหนังสือแกรมมาร์ดี ๆ สักเล่ม เพื่อสร้างพื้นฐานที่ดีในการพูดและเขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นตำราวิชาการก็ได้ อาจจะเป็นหนังสือที่อ่านง่าย ๆ เช่น หนังสือรู้ทันสันดาน Tense ของ เฑียร ธรรมดา ที่อ่านง่าย สนุก และนำไปใช้งานได้

เห็นไหมครับว่า วิธีการใส่ Input เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่เรามีความสม่ำเสมอ และตั้งใจจริงเท่านั้น

วิธีเรียนรู้ภาษาด้วยตัวเอง

วิธีการสร้าง Output

การป้อน Input เข้ามามาก ๆ อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ อยากเก่งก็ต้องฝึก Output ด้วย โดยวิธีที่หลายคนใช้แล้วได้ผลคือ

– การพูดเลียนแบบสิ่งที่ได้ยิน (Imitation) ในที่นี้คือ การพูดให้เหมือนเป๊ะเลย จะช่วยให้สมองเราปรับการรับรู้ นอกจากจะช่วยให้การพูดของเราดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้การฟังของเราดีขึ้นมาก ๆ ด้วย อาจจะเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการเลียนแบบทีละประโยคจนพูดได้เหมือนต้นฉบับ แล้วค่อยฝึกประโยคถัดไป

– บันทึกเสียงตัวเอง เทียบกับเสียงต้นฉบับ อันนี้ช่วยปรับสำเนียงได้มาก ลองดูก็ได้ครับ แค่ประโยคง่าย ๆ ต้องบอกว่าในการฝึกแรก ๆ นั้น กว่าที่เลียนเสียงได้เนียนเหมือนเจ้าของภาษา คุณอาจจะต้องอัดมากถึง 50 รอบ (50 รอบ จริง ๆ ผมไม่ได้พูดเล่น) เพราะสมองยังไม่ชิน กล้ามเนื้อลิ้น ปาก ฟัน ยังไม่ชินกับการออกเสียง แต่ไม่ต้องห่วง ประโยคหลัง ๆ คุณจะใช้เวลาน้อยลงแน่นอน ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ภายใน 3 เดือน คุณจะพูดได้เป๊ะเหมือนเจ้าของภาษาเลย

– ฝึกโต้ตอบกับเทปบันทึกเสียง ซึ่งจะมีคนทำบทเรียนลักษณะนี้ออกมาหลายเจ้า เช่น Effortless English, English Anyone หรือ Engfluent ที่คนไทยเป็นเจ้าของ ซึ่งวิธีการคือ เขาจะเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็ถามคำถามง่าย ๆ แล้วเว้นช่วงเวลาไว้ประมาณ 3-5 วินาทีให้เราตอบโต้ ซึ่งมีหลายคำถาม ส่วนใหญ่เป็นคำถามง่าย ๆ ถามซ้ำ ๆ เช่น What does she do? What does he look like? เราก็ตอบตามที่เราได้ยินในเรื่องราวมา การฝึกแบบนี้ช่วยให้เราโต้ตอบไปตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องแปลเป็นไทยในหัวก่อน แถมยังซึมซับแกรมมาร์ไปโดยธรรมชาติอีกด้วย ฝึกครั้งเดียวได้หลายทักษะพร้อมกัน

– ฝึกใช้ภาษาในการพูดคุยกับผู้คน โดยเข้าไปในเว็บแลกเปลี่ยนภาษาซึ่งทุกวันนี้มีเยอะมาก เราสามารถระบุภาษาที่เราต้องการฝึก และภาษาที่เราพูดได้ลงไป แล้วเข้าไปทักใครสักคน ซึ่งข้อดีของวิธีนี้ก็คือ เราได้ฝึกการใช้งานในการสื่อสารจริง โดยไม่ต้องไปพบปะกับผู้คนจริง ๆ ลดความประหม่า มีเวลาคิดคำพูด และได้เจอคำศัพท์หรือประโยคที่เจ้าของภาษาใช้บ่อย ๆ ด้วย ในการฝึกแบบนี้ เราจะได้ทั้งทักษะการเขียน การพูด (เทคนิคง่าย ๆ หากไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเขียนว่าอะไร ก็ใช้ Google translate ช่วยไปก่อน) เว็บไซต์แลกเปลี่ยนภาษาที่คนนิยมใช้ได้แก่ https://www.interpals.net/ , https://www.tandem.net/ เป็นต้น

– ฝึกเขียนจากสิ่งที่ได้ฟัง เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน โดยตอนแรก ๆ เราอาจจะเขียนผิดบ้าง ก็ไม่เป็นไร เมื่อเราเขียนไปเรื่อย ๆ เราจะเขียนศัพท์ได้ถูกต้องมากขึ้น และได้เรียนรู้แกรมมาร์แบบธรรมชาติด้วย

– ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง อันนี้ถือว่าสำคัญมาก ๆ และจะพัฒนาภาษาอังกฤษได้อย่างก้าวกระโดดมาก ๆ หลายคนที่ให้สัมภาษณ์ใช้วิธีนี้ ทุกวันนี้ไม่กลัวการพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษเลย เจอฝรั่งแล้วเดินเข้าหาได้เลย ลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษดูครับ วิธีนี้นี่เองที่ทำให้สิงโต นำโชค นักร้องดัง สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว

นอกจากวิธีต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ปัจจุบันยังมีแอพลิเคชันมากมายทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงินให้เราได้ลองโหลดมาใช้ดู แล้วลองเลือกสักอันที่ถูกใจมาใช้ในการฝึกครับ

“ความสม่ำเสมอ คือ หัวใจหลักของการพัฒนาทักษะ”

“ความสนุกและสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง” ลองเลือกหนังที่อยากดู เลือกหนังสือที่อยากอ่าน เลือกคอร์สที่อยากเรียนมาใช้ในการฝึกภาษาก็ได้ นอกจากได้ความรู้ความบันเทิงแล้ว ยังจะได้ทักษะภาษาอังกฤษที่แน่นขึ้นด้วย

ภาษาก็เหมือนกล้ามเนื้อ พอไม่ใช้ก็ลีบเล็กลง พอใช้บ่อยก็กลับมาแข็งแรง
อีกอย่างเรื่องภาษาไม่เกี่ยวกับความฉลาด แต่เกี่ยวกับความถี่ในการใช้งาน ใช้บ่อยฝึกบ่อยก็เก่ง ไม่ใช้ก็ลืม
มาฝึกภาษาเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานกันเถอะครับ

Vibration sensor by murata