Chapter 1 : Basic Instrument

Process Instrument คืออะไร สำคัญอย่างไร [ปูพื้นฐานครบ]

ตั้งต้นทำความเข้าใจทุกองค์ประกอบของเครื่องมือวัดอุตสาหกรรม

ยาวไปอยากเลือกอ่าน

กว่าจะเป็นระบบการวัดคุมในปัจจุบัน

4 องค์ประกอบสำคัญของการควบคุมอัตโนมัติในโรงงาน

คุณสมบัติที่สำคัญของเครื่องมือวัด

นิยามศัพท์

กว่าจะเป็นระบบการวัดคุมในปัจจุบัน

ระบบการวัดคุมที่เราเห็นในปัจจุบันนั้น ตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อการวัดอย่างแม่นยำมากขึ้น และการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องมีการสื่อสารทางเครื่องมือวัดที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการสื่อสารแบบดิจิตอล หรือแม้แต่การสื่อสารแบบระบบไร้สาย ถูกนำมาใช้ในงานเครื่องมือวัดเช่นเดียวกัน เพราะระบบควบคุมในปัจจุบันล้วนแล้วแต่ทำงานบนระบบการประมวลผลแบบดิจิตอลแทบทั้งสิ้น ล้วนสื่อสารกันบนโปรโตคอล แต่กว่าจะถูกพัฒนามาถึงขั้นนี้ เดิมทีในอดีตระบบการวัดคุมนั้นสื่อสารและทำงานกันอย่างไร

James Watts ได้คิดค้นสร้าง Fly Ball Governor

กำเนิดเครื่องจักรไอน้ำ

หากจะย้อนกลับไปในยุคแรกเริ่มจุดเริ่มต้นของการวัดคุมเลยนั้น ย้อนกลับไปราว 250 ปีก่อน ที่โลกของเราเริ่มเข้าสู่การผลิตสินค้าเชิงอุตสาหกรรม ผลิตที่ละจำนวนมากๆ โดยเป็นการใช้แรงงานคนและกลไกเชิงกลที่ไม่ซับซ้อน แต่แล้วไม่กี่ปีต่อมาก็ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกในการผลิตสินค้าเมื่อ James Watts ได้คิดค้นสร้าง Fly Ball Governor ที่สามารถใช้ควบคุมความเร็วรอบของเครื่องจักรไอน้ำได้สำเร็จ เป็นการเข้าสู่ยุคที่เริ่มใช้เครื่องจักรไอน้ำเป็นต้นกำลัง และยังสามารถควบคุมกระบวนผลิตด้วยหลักการ Feedback Control ให้ความเร็วรอบของเครื่องจักรไอน้ำนั้นสัมพันธ์กับกลไกของเครื่องจักรนั้นเอง

ระบบลมนิวเมติกส์

ระบบลมนิวเมติกส์ถูกนำมาใช้งาน

เมื่อระบบการผลิตขยายตัว การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์จึงสำคัญ เพระประชากรมีความต้องการใช้สินค้าในปริมาณมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมเองก็เร่งขยายตัว เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ปัญหาคือการที่จะขยายกำลังการผลิตได้นั้นคือต้องมีการเพิ่มเครื่องจักร ทำให้เริ่มมีการใช้ระบบลม นิวแมติก มาทำงานร่วมกับกลไกทางแมคคานิกส์ด้วย จนระบบควบคุมด้วยสัญญาณลมนิวแมติก ถูกพัฒนาอย่างสมบูรณ์ จึงได้มีการกำหนดมาตรฐานสัญญาณลมที่ใช้ในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ในอุตสาหกรรม คือ สัญญาณ 3–15 psi นั้นเอง

ระบบไฟฟ้า

ระบบไฟฟ้าเป็นจุดเปลี่ยนด้านการสื่อสาร

เมื่อระบบไฟฟ้าได้ถูกคิดค้นขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งในด้านพลังงานของเครื่องจักรต้นกำลัง เริ่มมีการพัฒนาระบบควบคุมทางไฟฟ้า ด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ นำมาใช้งานร่วมกับระบบนิวแมติกส์ จนได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่องๆ จึงเริ่มมีการพัฒนาระบบส่งสัญญาณควบคุมทางไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบขึ้น จึงได้มีการกำหนดสัญญาณมาตรฐานทางไฟฟ้ามีใช้ 2 แบบด้วยกันคือ สัญญาณแรงดันไฟฟ้ามาตรฐาน 1–5 Vdc และสัญญาณกระแสไฟฟ้ามาตรฐาน 4–20 mAdc

ยุคของระบบดิจิตอล

ยุคของระบบดิจิตอลอย่างในปัจจุบัน

เมื่อวงจรอิเล็กทรอนิคส์ก็ถูกพัฒนาจนสามารถรองรับกับฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ได้ นั้นก็คือตัว ลอจิกเกต และระบบควบคุมเริ่มสามารถเชื่อมโยงหลายๆลูปเข้าด้วยกันได้ สัญญาณดิจิตอลก็ได้ถูกพัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบ สามารถสื่อสารข้อมูลและเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆเข้าด้วยกันได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นระบบควบคุมแบบกระจายส่วน หรือ DCS ที่เรารู้จัก ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พัฒนาไปอย่างมาก จึงถูกนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมช่วยให้สามารถทำการวัดและควบคุมทางไกลได้ จนไปถึงสามารถมีระบบการบันทึกจัดเก็บข้อมุลการผลิตและทำรายงานสรุปผลให้กับทางผู้ปฏิบัติงาน หรือฝ่ายบริหารได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยง่าย รูปแบบสัญญาณดิจิตอลนั้น มีหลากหลายรูปแบบสัญญาณ ตามแต่ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องมือวัดและควบคุมออกมา ทำให้ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้หากรูปแบบสัญญาณในการสื่อสารไม่เหมือนกัน จึงมีการกำหนดมาตรฐานของสัญญาณดิจิตอลขึ้น หรือที่เรียกว่า Protocol ที่เราคุ้นเคยและใช้งานในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น HART, MODBUS ,PROFIBUS , FIELDBUS เป็นต้น

สรุประบบสื่อสารของวัดและควบคุมในกระบวนการ

จะเห็นได้ว่า หลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับระบบการวัดคุมนั้น เกิดจากการถูกพัฒนาต่อยอดจากปัญหาที่เป็นข้อจำกัดในด้านต่างๆ เริ่มต้นตั้งแต่ลดการใช้แรงงานคนเป็นต้นกำลัง โดยการนำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้แทน คิดออกแบบกลไกเชิงกลเพื่อผลิตสินค้าที่ซ้ำๆเดิมได้ แต่เมื่อมีการขยายกำลังการผลิตจึงเริ่มหาวิธีในการสื่อสารส่งต่อการสั่งการจากเครื่องจักรหากัน โดยมีตั้งแต่สัญญาณลมนิวเมติกส์ สัญญาณทางไฟฟ้า ไปจนถึงสัญญาณดิจิตอลอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั้นเอง

คอร์สสอน เครื่องมือวัดอุตสาหกรรม

4 องค์ประกอบสำคัญของการควบคุมอัตโนมัติในโรงงาน

ในการวัดและควบคุมกระบวนการทางอุตสาหกรรม จำเป็นที่จะต้องรักษาปริมาณทางฟิสิกส์ โดยการวัดค่าจากเครื่องมือวัดอุตสาหกรรม ได้แก่ค่าจาก เครื่องมืออุณหภูมิ (Temperature) เครื่องมือวัดความดัน (Pressure) อัตราการไหล (Flow) เครื่องมือวัดระดับ (Level) เครื่องมือวัดวิเคราะห์ทางเคมี และอื่นๆ โดยเป้าหมายให้ค่าในกระบวนการนั้นใกล้เคียงกับค่าเป้าหมาย (Set Point : SP) ซึ่งองค์ประกอบหลักๆ ของระบบควบคุมแบบป้อนกลับโดยทั่วไปอาจแบ่งได้ 4 ส่วน ดังนี้

1. ตัวควบคุม (Controller) 

ตัวควบคุม (Controller) เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้างสัญญาณควบคุม เพื่อทำหน้าที่ควบคุมให้ระบบหรือกระบวนการที่ต้องการควบคุมมีผลตอบสนองหรือสัญญาณเอาต์พุต (Output) เป็นไปตามที่ต้องการ โดยตัวควบคุมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีหลายแบบด้วยกันแต่ที่นิยมใช้กันมากที่จุดคือ ตัวควบคุมแบบ PID

2. อุปกรณ์ควบคุมตัวสุดท้าย (Final Control Element) 

อุปกรณ์ควบคุมตัวสุดท้าย (Final Control Element)  คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ปรับสภาวะของกระบวนการด้วยการเปลี่ยนแปลงค่าตัวแปรปรับกระบวนการ (Manipulated Variable : MV) ตามคำสั่งหรือสัญญาณควบคุมที่ได้รับจากตัวควบคุม อุปกรณ์ควบคุมตัวสุดท้ายมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ดังเช่น วาล์วควบคุม (Control Vavle) อินเวอร์เตอร์ (Inverter) และตัวแอกชิวเอเตอร์ (Actuator) เป็นต้น แต่ที่มักพบเห้นกันมากในอุตสาหกรรมได้แก่ วาล์วควบคุม (Control Valve)

3. พลานต์หรือกระบวนการ (Plant or Process) 

พลานต์หรือกระบวนการ (Plant or Process) หมายถึง ระบบหรือกระบวนการทางฟิสิกส์ที่ต้องการควบคุมให้มีสถานะเป็นไปตามต้องการ เช่น กระบวนการเกี่ยวกับการควบคุมระดับของของเหลว หรือ กระบวนการเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ เป็นต้น โดยสถานะของกระบวนการสามารถแสดงได้ด้วยตัวแปรกระบวนการ (Process Variable : PV)

4. เครื่องมือวัด (Measuring Instrument)

เครื่องมือวัด (Measuring Instrument) หมายถึง อุปกรณ์จำพวกเซ็นเซอร์ (Sensor) ทรานสดิวเซอร์ (Transducer) อุปกรณ์ส่งสัญญาณ (Transmitter) หรือเครื่องมือวัดสัญญาณอื่นๆ ในกระบวนการ เพื่อนำสัญญาณที่วัดได้ไปใช้เป็นตัวแปรในการควบคุม โดยสัญญาณเอาต์พุตของเครื่องมือวัดโดยทั่วไปจะเป็นสัญญาณมาตรฐานทางอุตสาหกรรม เช่น สัญญาณแรงดันไฟฟ้า 1 – 5 Vdc สัญญาณกระแสไฟฟ้า 4 – 20 mAdc สัญญาณลมขนาด 3 – 15 psig หรือสัญญาณดิจิตอล (ที่เริ่มมีการใช้งานในปัจจุบัน) เช่น Foundation Fielbus , PROFIBUS , หรือ DEVICENET เป็นต้น

ตัวอย่างของการควบคุมระดับน้ำ

กระบวนการควบคุมของร่างกายเรา

การควบคุมกระบวนการของร่างกายคนคนเรา

เพื่อให้เข้าใจง่าย เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพของกระบวนการตัดสินใจของสมองของเราต่อกระบวนการ จำเป็นจะต้องแยกส่วนต่างๆของร่างกายซึ่งเป็นทั้งหน่วยรับข้อมูล (Input) และตัวส่งกระทำต่อกระบวนการ (Output) ดังตัวอย่างในภาพ เป็นกระบวนการที่เราต้องการรักษาระดับน้ำภายในถัง เรามาดูหน้าที่ของแต่ละส่วนกันนะครับ

  • ถังน้ำ : เป็นกระบวนการที่เราต้องการควบคุมระดับน้ำ
  • ตา : ความต้องการของเรา (Setpoint) คือรักษาระดับน้ำ เราจำเป็นต้องรู้ระดับน้ำโดยการสังเกตด้วยตาของเรา
  • สมอง : จากนั้นเราก็นำค่าระดับน้ำที่สังเกตได้มาเทียบว่า มันมากหรือมันน้อยไปจากระดับที่เราต้องการ ด้วยการตัดสินใจ
  • มือ : จากนั้นเราจึงทำการเปิด หรือ ปิดวาล์ว ของน้ำที่ไหลเข้าหรือออกจากถัง จนได้ระดับที่เราต้องการ จากการสังเกตด้วยตา วนกลับไปยังสมองเพื่อตัดสินใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆโดยปกติคนเราสามารถรักษาระดับน้ำได้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งที่ทำอยู่นี้ก็คือการควบคุมกระบวนการ เรามาลองเปลี่ยนอวัยวะของร่างกายเราเป็นอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมกันบ้างว่าจะเป็นอย่างไร

การควบคุมกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม

  • ถังน้ำ : ยังคงเป็นถังใบเดิมที่เราต้องการควบคุมรักษาระดับน้ำ
  • เครื่องมือวัด : Level Transmitter เป็นเครื่องมือวัดระดับน้ำ เพื่อให้เราสามารถรู้ค่าระดับในขณะนั้น และยังสามารถส่งค่าระดับเพื่อไปยังตัวคอนโทรลเลอร์
  • Controller : ทำหน้าที่ในการเปรียบเทียบค่าระดับน้ำที่ต้องการ (Setpoint) กับค่าระดับน้ำในปัจจุบันจากเครื่องมือวัด เพื่อตัดสินใจว่า ตอนนี้น้ำมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก่อนจะไปควบคุมในการเปิด-ปิดวาล์วน้ำ
  • Final Element : อุปกรณ์ที่มีผลต่อการควบคุมกระบวนการในตัวอย่างเป็นคอนโทรลวาล์ว ที่ใช้ในการเปิด-ปิดวาล์วน้ำ ตามคำสั่งจากตัว คอนโทรลเลอร์

จะเห็นได้ว่า การควบคุมกระบวนการ (Process Control) ของมันสมองของเรากับตัวคอนโทรลเลอร์ มีเงื่อนไขในการตัดสินใจคล้ายๆกัน สิ่งที่เรากำหนดในขั้นแรกคือค่าที่เราต้องการหรือเป้าหมาย (Set Point) จากนั้นก็นำค่าที่วัดได้จากเครื่องมือวัดมาเปรียบเทียบก่อนจะตัดสินใจไปยังอุปกรณ์ตัวสุดท้าย (Final Element) นั้นเองครับ

คุณสมบัติที่สำคัญของเครื่องมือวัด

เครื่องมือวัดอุตสาหกรรม เป็นอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งใช้งานเพื่อการวัดและควบคุมกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ปฏิบัติงานทางด้านเครื่องมือวัดจำเป็นที่จะต้องเข้าใจความหมายของคำที่ใช้ในการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เสียก่อน โดยทางสมาคมผู้ผลิตเครื่องมือวิทยาศาสตร์แห่งสหรัฐ (Scientific Apparatus Makers of America : SAMA) ได้ให้คำจำกัดความที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ดังนี้

การกำหนดความหมายในรูปแบบของสัญญาณแบบอนาล็อก (Analog)

ถึงแมัในปัจจุบันเริ่มมีการใช้งานของรูปแบบสัญญาณแบบดิจิตอลกันบ้างแล้ว แต่การกำหนดความหมายในรูปแบบของสัญญาณอนาล็อกก็ยังมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ อุปกรณ์ตัวชี้บอกค่า (indicator) ตัวบันทึกสัญญาณ (Recorder) หรือรูปแบบการส่งสัญญาณ (Transmitter) ซึ่งจะทำให้ทราบค่าแน่นอนของสิ่งที่ทำการวัดอยู่ โดยมีสิ่งสำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ

– ตัวแปรในการวัด (Measured Variable) เป็นการวัดตัวแปรทางฟิสิกส์ คุณสมบัติ หรือ เงื่อนไขในการวัด ตัวอย่างเช่น อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล ระดับ ความเร็ว เป็นต้น

– สัญญาณค่าการวัด (measured Signal) เป็นค่าสัญญาณที่ได้จากการวัด อาจเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า ลม หรือแมคคานิกส์ (เชิงกล)

อุปกรณ์ส่งสัญญาณ (Transmitter)

จะมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณ (Transmitter) คอยทำหน้าในการแปลงสัญญาณจากเครื่องมือวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางด้าน Primary Element ได้ค่าสัญญาณออกมาเป็น Measured Signal ซึ่งถ้าจะนำไปใช้งานจริงในระบบควบคุมจำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์ทางด้าน Secondary Element มาแปลงสัญญาณที่ได้จากอุปกรณ์ Primary Element อีกทีหนึ่ง เพื่อให้ได้เป็นสัญญาณมาตรฐาน ในการนำไปใช้งานสำหรับการควบคุม เช่น 1 – 5 Vdc , 4 – 20 mAdc หรือสัญญาณดิจิตอล เป็นต้น

สัญญาณอินพุต กับ สัญญาณเอาต์พุต

ระบบการสื่อสารเพื่อส่งสัญญาณทางเครื่องมือวัด ไม่ว่าจะเป็นการรับสัญญาณหรือส่งสัญญาณออกไป ให้ทำการมองไปที่ตัวอุปกรณ์ เช่นอุปกรณ์นั้นคือเครื่องมือวัด

– สัญญาณอินพุต (Input Signal) หมายถึง สัญญาณที่เชื่อมต่อเข้ากับเครื่องมือวัด (Deveice , Element, System) เช่น การต่อท่อความดันที่ต้องการวัดเข้ากับอุปกรณ์ส่งสัญญาณความดัน (Pressure Transmitter) หรือ การต่อเซ็นเซอร์ RTD เข้ากับอุปกรณ์ส่งสัญญาณอุณหภูมิ (Temperature Transmitter) เป็นต้น

– สัญญาณเอาต์พุต (Output Signal) หมายถึง สัญญาณที่ถูกส่งออกจากเครื่องมือวัด เช่นสัญญาณมาตรฐาน 1 – 5 Vdc หรือ 4 – 20 mAdc และสัญญาณดิจิตอลของอุปกรณ์ส่งสัญญาณความดัน เป็นต้น

นิยามที่เกี่ยวกับย่านการวัด

เครื่องมือวัดทุกชนิดที่นำมาใช้งาน เพื่อวัดค่าปริมาณทางฟิสิกส์นั้นจะมีย่านการวัด (Range) กำกับอยู่ทุกตัว เพื่อทราบขอบเขตของช่วงการวัดของเครื่องมือวัดนั้นเอง เรามาทำความเข้าในย่านการวัด และคำนิยามอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน

  • – Range (ย่านวัด หรือ พิสัย)
  • – Span (ช่วงวัด)
  • – Zero (ค่าศูนย์)
  • – Suppressed Ratio
  • – Suppressed Zero
  • – Elevated Zero
  • – Lower Range-Value
  • – Upper Range-Value

นิยามที่เกี่ยวกับการอ่านค่าจากเครื่องมือวัด

นิยามต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอ่านค่า (Readability Terms) เป็นการแสดงค่าจากการชี้บอกค่าของตัว Indicator หรือปากกาชี้วัดค่า (Pen Travel) โดยที่เข็มปากกาจะเคลื่อนที่ไปตามความยาวของแผ่นสเกล หรือแผ่นกระดาษบันทึกค่า ส่วนการอ่านค่าก็ต้องดูตรงจุดที่เข็มชี้หยุดบนแผ่นสเกล หรือรอยหมึกบนกระดาษบันทึกค่า หรืออ่านค่าจากตัวเลขดิจิตอล โดยทั้งหมดนี้จะต้องคำนึกถึงข้อกำหนดดังนี้

ค่าความจำแนกชัด (Resolution)

ค่าความจำแนกชัด (Resolution) เป็นการบอกค่าความละเอียดในการแสดงค่า ยกตัวอย่างเช่น ไม้บรรทัดความยาว 10 cm และในแต่ละช่องของ 1 cm จะแบ่งขีดไว้เป็น 10 ช่องเล็ก นั้นหมายถึง ค่าความละเอียดในการแสดงค่าของไม้บรรทัดนี้คือ 1 mm (1 cm เท่ากับ 10 mm) 

ค่าความไว (Sensitivity)

ค่าความไว (Sensitivity) เป็นการเปลี่ยนแปลงของผลตอบสนองของเครื่องมือวัดหารด้วยการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าที่สมนัยกัน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความไวในการตรวจจับสัญญาณของเครื่องมือวัด ตัวอย่างเช่น ความไวของตัวเซ็นเซอร์เทอร์โมคับเปิลแบบชนิด K มีความไวเป็น 0.01 mA/ํC หรือตัววัดแบบสเตรนเกจมีความไวเป็น 0.02 mV / 1mbar เป็นต้น

นิยามที่เกี่ยวกับเครื่องมือวัด

ในการใช้งานเครื่องมือวัดจำเป็นต้องคำนึงถึงความแม่นยำของเครื่องมือวัด ความผิดพลาด ความเที่ยงตรง ความทวนซ้ำได้ ความเป็นเชิงเส้น คำอื่นๆที่เกี่ยวกับเครื่องมือวัด เพื่อให้เข้าใจความหมายและการอ่านทำความเข้าใจคู่มือในเครื่องมือวัดต่างๆ

ความแตกต่างของ ความเที่ยงตรง (Accuracy) และ ความแม่นยำ (Precision)

ความเที่ยงตรง และ ความแม่นยำ

รูป ความแตกต่างของ Accuracy และ Precision

คำที่ได้ยินกันบ่อยเครื่องเกี่ยวกับเครื่องมือวัดคือ ความเที่ยงตรง (Accuracy) และ ความแม่นยำ (Precision) ดังรูปแสดงความแตกต่างระหว่าง Accuracy และ Precision โดยกำหนดให้ จุดกึ่งกลางแทนค่าจริง (True Value) เส้นวงกลมวงใน(เส้นประ) แทนช่วงที่ยอมรับได้ และเครื่องหมาย x แทนค่าที่ได้จากการแสดงค่าของเครื่องมือวัด เมื่อทำการวัดซ้ำค่าเดิม จำนวน 5 ครั้งที่สืบเนื่องกัน โดยวัดตามเงื่อนไขเดียวกันทั้งหมด ดังนี้ ระเบียบวิธีการวัดเดียวกัน ผู้วัดเดียวกัน เครื่องมือวัดเดียวกัน สถานที่เดียวกัน ภาวะการวัดเดียวกัน และการทวนซ้ำไม่ทิ้งช่วงเวลามากนัก

ความแม่นยำ

ความแม่นยำ (Accuracy) เป็นความสามารถของเครื่องมือวัดที่จะให้ค่าชี้บอก (indication) ใกล้เคียงกับค่าจริง (True Value) ของปริมาณที่วัด โดยทั่วไปจะมีการระบุ Accuracy Class ของเครื่องมือวัด ซึ่งมีลักษณะเป็นไปตามข้อกำหนดทางมาตรวิทยา เพื่อบ่งบอกว่า เครื่องมือวัดมีความผลิดพลาดอยู่ภายในขีดจำกัดที่บ่งไว้ โดยเกิดคลาดเคลื่อนไปทางบวก หรือลบได้เท่าไหร่ ซึ่งสามารถระบุได้หลาย ๆ รูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้งาน

ความเที่ยงตรง (Precision)

ความเที่ยงตรง (Precision) ค่าความเที่ยงตรงเป็นการบ่งบอกถึงความสามาถในการวัดซ้ำค่าเดิม หรือความทวนซ้ำได้ของเครื่องมือวัด (Repeatability) โดยค่า Repeatability อาจคำนวณได้จากค่าสัมบูรณ์ของค่าเบี่ยงเบนสูงสุด (Maximum Absolute Deviation) ที่เกิดขึ้นเมื่อทำการวัดซ้ำค่าเดิมหลายๆ ครั้งด้วยเงื่อนไขเดียวกัน โดยที่ค่าความเบี่ยงเบนของการวัดแต่ละครั้ง (Deviation) เป็นผลต่างระหว่างค่าที่ได้จากการแสดงค่าของเครื่องมือวัดในการวัดครั้งนั้น (Indication) กับค่าเฉลี่ยของค่าที่ได้จากการแสดงค่าของเครื่องมือวัด (Mean Output) นั้นคือ

[ Deviation = Indication – Mean Output ] >> สมการความเบี่ยงเบน

ค่าความผิดพลาดของค่าชี้บอก (Error of Indication)

ค่าความผิดพลาดของค่าชี้บอก (Error of Indication) ค่าความผิดพลาดของค่าชี้บอกของเครื่องมือวัด เป็นค่าผลต่างระหว่างค่าที่ได้จากการชี้บอกของเครื่องมือวัด (indication) กับค่าจริง (True Value) นั้นคือ

Measured Signal Error = Indication – True Value

โดยทั่วไปจะมีการใช้ 3 ค่านี้สำหรับการพิจารณา Point Error ซึ่งตรงส่วนนี้เป็นการแสดงค่าความผิดพลาดในบางจุดของย่านการใช้งานของเครื่องมือว้ด ซึ่งได้จากการทดสอบ แล้วทำรายงานผลออกมาในรูปแบบตัวเลขหรือกราฟ

Zero Error

Zero Error เป็นการแสดงค่าความผิดพลาดของเครื่องมือวัดที่จุด Zero (ค่าต่ำสุดที่วัดได้) ไปตลอดย่านวัด

Span Error

Span Error เป็นการแสดงค่าความผิดพลาดของเครื่องมือวัดที่พิจารณาไปตลอดทั้งย่านการวัด (คล้าย Gain Error ของวงจรยายสัญญาณ)

Linearity

Linearity ค่าความเป็นเชิงเส้นนี้จะเกิดอยู่ระหว่างเส้นทางอุดมคติ (Ideal) กับค่าที่วัดได้จริง (Actual) มีความใกล้เคียงกันมากเพียงใด

ค่าปรับแก้ (Correction)

ค่าปรับแก้ (Correction) เป็นค่าชุดเชยสำหรับค่าผิดพลาดเชิงระบบ (Systematic Error) โดยค่าปรับแก้มีค่าเท่ากับค่าผิดพลาดเชิงระบบ แต่มีเครื่องหมายตรงกันข้าม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นค่าที่ต้องแก้ไขสำหรับเครื่องมือวัดทีมีค่าปรับแก้กำกับอยู่ (แสดงค่าจากค่าที่วัดได้ (+,-) กับค่าที่ต้องแก้ไข) 

นิยามที่เกียวกับการใช้งาน

ในการใช้งานเครื่องมือวัด ปัญหาที่มักจะพบ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Primary Instrument โดยสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการสั่นสะเทือน อุณหภูมิโดยรอบ ความชื้น และอื่นๆ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับบริเวณโดยรอบ ของการติดตั้งเครื่องมือวัดเป็นหลัก ดังนั้น จึงควรทราบนิยามที่มักจะระบุมาในคู่มือหรือข้อแนะนำในการใช้งานเครื่องมือวัดด้วย (Operating Related Terms) นั้นคือ

Ambient Temperature

Ambient Temperature เป็นการบอกค่าอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการติดตั้งเครื่องมือวัดในการใช้งานจริง โดยทั่วไปก็อยู่ในช่วง 55 ํC เป็นต้น

Drift

Drift หรือการลอยเลื่อน เป็นการแปรผันอย่างช้าๆ ตามเวลาของลักษณะทางมาตรวิทยาของเครื่องมือวัดที่มักเป็นการบอกค่าการเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือวัดในขณะการใช้งานในช่วงอุณหภูมิต่างๆ เช่น บอกในลักษณะการเปลี่ยนแปลง 0.01 mV/ํC

นิยามที่เกี่ยวข้องกับแหล่งจ่ายพลังงาน

ในการใช้งานเครื่องมือวัดที่ดีควรจะทราบเกี่ยวกับนิยามต่างๆ ที่เกี่ยวกับแหล่งจ่ายพลังงาน (Energy Related Terms) เนื่องจากความจำเป็นของเครื่องมือวัดจะต้องใช้แหล่งจ่ายลมหรือแหล่งจ่ายไฟฟ้าเพื่อเป็นแหล่งจ่ายพลักงานให้แก่เครื่องมือวัด เช่น ถ้าเป็นระบบลม ลมที่จ่ายให้กับเครื่องมือวัดจะเป็น 20 psig และ Air Comsumtion อาจบอกเป็นหน่วย 0.5 Nm3/h โดยคิดที่ช่วงเครื่องมือวัดทำงานอยู่ในช่วงคงตัว (Steady State) และในส่วนแหล่งจ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่้องมือวัดที่เป็นระบบไฟฟ้าจะแสดงค่า Power Consumption ในลักษณะนี้เช่น Power Consumption เท่ากับ 15 VA ที่แหล่งจ่ายไฟฟ้าขนาด 24 Vdc ซึ่งตรงส่วนนี้จะสามารถนำไปคำนวณเลือกฟิวส์ เพื่อป้องกันอันตรายต่อเครื่องมือวัดและรวมไปถึงการเลือกขนาดสายไฟฟ้าที่เหมาะสมตามความต้องการอีกด้วย